ติดตามอัพเดทบทความสุขภาพได้ทาง Facebook โดยกดถูกใจ ของช่อง Facebook ทางด้านขวาของเวปไซด์ได้นะครับ

ตั้งแต่เดือน กรกฏาคม 2555 เป็นต้นไป จะทำการอัพเดทความความรู้สุขภาพที่เวปไซด์ใหม่ของเราที่
www.Thaihealthwellness.com
ยังไงก็ติดตามกันไปเยอะๆนะครับ ^^

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Smartphone Face ภัยจากเทคโนโลยีใกล้ตัว

สวัสดีครับ เนื่องจากผมจะอัพเดทบทความในเวปไซด์ใหม่ บล๊อกนี้จะเป็นบล๊อกที่เอาไว้อัพเดทเรื่องราวต่างที่ๆผมได้เขียนไว้ในเวปไซด์ใหม่ วันนี้จะมาเล่าเรื่อง โรค Smartphone Face ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถติดตามเรื่องราวของโรค Smartphone Face ได้จากลิ้งนี้นะครับ Smartphone Face ภัยจากเทคโนโลยีใกล้ตัว อ่านต่อ..

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำไมกินน้ำเย็นถึงไม่ดี?


วันนี้มาอัพเดทเวปหลังจากไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดทเลยครับ พอดีมีคนใกล้ตัวสงสัยขึ้นมาว่า "ทำไมการดื่มน้ำเย็นถึงเป็นอันตราย"

อากาศเมืองไทยมันร้อนเนอะ เวลาทานข้าวก็ข้าวก็อยากจะทานน้ำเย็นๆ เพื่อดับกระหาย แต่การดื่มน้ำเย็นมันก็มีผลเสียต่อร่างกายจริงๆสาเหตุหลักๆก็เพราะ ร่างกายของคนเรามีอุณหภูิมิที่เหมาะสมอยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส แต่น้ำเย็นอุณภูมิมันต้องต่ำกว่า 32 องศาแน่ๆ ไม่งั้นเราคงไม่รู้สึกเย็นหรอก


ทีนี้ในระบบการย่อยอาหารของคนเราเนี่ย จะมีการหลั่งสารคัดหลั่งออกมาจำพวกเอ็นไซม์เพื่อย่อยอาหาร ซึ่งสารเหล่าเนี่ยะ มันออกแบบออกมาให้ทำงานได้ดีกับอุณหภูมิปกติของร่างกายของเรา ซึ่งอุณหภูมิต่ำๆเนี่ย มันดันไปลด activity(การทำงาน)ของเอนไซม์ที่จะมาย่อยอาหารเหล่านี้ทำให้การย่อยไม่ดี นอกจากนี้ในระบบทางเดินอาหารของเราเนี่ยยังประกอบด้วยกล้ามเนื้อต่างๆอีกด้วย กล้ามเนื้อพวกนี้ถ้าได้รับความเย็นจากน้ำเย็นๆก็จะทำให้เกิดอาการชา (เหมือนเวลาหน้าหนาวที่อากาศหนาวจัดๆปลายนิ้วมือนิ้วเท้าจะชาๆ จากความเย็น)และทำให้เกิดการบีบตัว คลุกเคล้าอาหารที่จะทำการย่อยได้ไม่ดีก็เป็นปัญหาในระบบทางเดินอาหารอีกเช่นกัน

ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ระบบการย่อยไม่ดี และอาจทำให้เกิดเป็นโรคกรดไหลย้อนได้อีกด้วย

ดังนั้น พวกเราทั้งหลาย ก็ดื่มน้ำเย็นให้มันน้อยๆลงซักนิด เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ผมก็กินน้ำเย็นอยู่บ้างนะ ของอย่างงี้มันห้ามกันยากเนอะ เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะมาอัพเืดทบทความใหม่ๆ บ่อยๆนะครับ ขอบคุณที่ติดตามกันทุกคนครับ

อ่านต่อ..

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มะเร็งตับอ่อน โรคร้ายที่คร่า Steve Job CEO ผู้ประสบความสำเร็จอันดับต้นๆของโลก

Steve Job CEO ผู้ประสบความสำเร็จอันดับต้นๆของโลก
เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในตับอ่อน
หลายคนคงทราบข่าวการเสียชีวิตของ Steve Job CEO บริษัท Apple ผู้ผลิตสินค้าตระกูล I ต่างๆไม่ว่าจะเป็น Ipod Iphone Ipad ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับในวัย 56 ปีในวันที่ 6 ตุลาคม 2554 ด้วยสาเหตุจากโรคมะเร็งในตับอ่อน ซึ่งเป็นโรคที่ผมจะมาแนะนำ ในวันนี้

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับตับอ่อนกันก่อน ตับอ่อนคือ อวัยวะในช่องท้องส่วนบน จะอยู่แถวๆหลังกระเพาะอาหาร โดยตับอ่อนจะประกอบด้วยต่อมีท่อ และต่อมไร้ท่อ ตับอ่อนจะมีหน้าที่ ในการสร้างน้ำย่อยแล้วหลั่งไปยังลำไส้เล็กเพื่อย่อยอาหารประเภท ไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต  และนอกจากนี้ยังเป็นที่สร้างฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอน ซึ่งมาหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลของร่างกายเราอีกด้วย


รูปแสดงตับอ่อน จะอยู่ด้านหลังของกระเพาะอาหาร

ลักษณะของมะเร็งตับอ่อน
จะมี 2 แบบคือ 1. เกิดที่ต่อมมีท่อ และ 2. เกิดที่ต่อมไร้ท่อ โดยมะเร็งตับอ่อนในต่อมมีท่อจะพบได้บ่อยกว่า มะเร็งตับอ่อนในต่อมไร้ท่อ โดยในกรณีของ สตีฟ จ๊อบ จะเป็นในต่อมไร้ท่อ

อาการของโรคมะเร็งตับอ่อน
อาการจะแสดงออกมาได้หลายอย่าง เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เกิดจากการคั่งของสารบิลิรูบีน (bilirubin) ที่สร้างจากตับอ่อน อาการปวดท้องร้าวไปทางด้านหลัง น้ำหนักลด มีปัญหาในระบบย่อยอาหาร โดยจะย่อยพวกไขมันไม่ดี ทำให้อุจาระมีสีซีด ปนไขมัน ถุงน้ำดีบวม และมีอาการเบาหวานเกิดขึ้น

สาเหตุของโรคมะเร็งตับอ่อน
สาเหตุของโรคนี้ยังไม่แน่ชัดมาก แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับอ่อนได้เพิ่มขึ้นเช่น
1. การสูบบุหรี่ พบในคนสูบบุหรี่มากกว่าคนไม่สูบ 3 เท่า
2. กรรมพันธ์ หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้โอกาสเสี่ยงก็มีมากขึ้น
3. อายุ พบในวัย 50 ปีขึ้นไปมากกว่า
4. เพศ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
5. สารเคมี พบในผู้ที่ใช้สารเคมีอย่างหนักในการทำงานเช่น ยาฆ่าแมลง
6. ตับแข็ง คนที่เป็นโรคตับแข็งเนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก จะมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนสูง


วิธีการรักษาโรคมะเร็งตับอ่อน
ไปหาหมอครับ เดี๋ยวหมอจะรักษาให้เอง เรารักษาเองไม่ได้แน่ๆ และห้ามไปหาหมอผี แม่หมอหรือผู้มีอาคมนะครับ จะเสียโอกาสในการรักษาแน่ๆ นอกจากนี้ผมก็ไม่มีความรู้วิธีการรักษาด้วยแต่เราสามารถ ลดความเสี่ยงป้องกันการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนได้

วิธีป้องกันการเป็นมะเร็งตับอ่อน
1. ดูแลสุขภาพ ในการทานอาหาร และการดำเนินชีวิต
2. ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ กาีรใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4. หากพบอาการที่น่าสงสัย รีบไปหาหมอ เพราะมีโอกาสรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ หากเป็นในระยะเริ่มต้น
5. ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และควรเพิ่มความถี่เมื่อมีอายุมากขึ้น

จากกรณีของ สตีฟ จ๊อบ ซึ่งพบว่าเป็นมะเร็งในระยะที่ลุกลามแล้ว ทำให้ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับโรคร้าย แม้ว่าจะรวยล้นฟ้าก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ดังนั้น สุขภาพดี ซื้อไม่ได้ ต้องดูแลและปฏิบัติด้วยตัวเองครับ ^^
อ่านต่อ..

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคกรดไหลย้อน อันตรายใกล้ตัวกว่าที่คิด

โรคกรดไหลย้อน

สวัสดีครับ ยังไม่ค่อยมีเวลาอัพบทความอีกแล้ว ด้วยเหตุผลทางสุขภาพกับโรคที่กำลังจะพูดถึง นั่นก็คือ "โรคกรดไหลย้อน"

โรคกรดไหลย้อน จะเป็นการที่กรดในกระเพาะอาหารที่ร่างกายของเราหลั่งออกมาเพื่อย่อยอาหารที่เราทานเข้าไป เกิดไหลย้อนออกมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งมีความบอบบางไม่ถึงบึกบึนเหมือนกระเพาะอาหาร หลอดอาหารเมื่อโดนกรดก็จะเกิดการอักเสบปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกหรือมีอาหารปวดท้องร่วมด้วย ใครไม่เคยเป็นคงไม่รู้ถึงความทรมาน T^T

สาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อน เกิดจากการที่หูรูดที่ปิดระหว่างกระเพาะอาหารกับหลอดอาหารหรือ Sphincter พังเอ้ยเสื่อมไม่ว่าด้วยสาเหตุใด กรดจึงสามารถย้อนมาที่หลอดอาหาร ทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ บางครั้งอาจลามไปถึง กล่องเสียงและคอได้ด้วย


อาการของโรคกรดไหลย้อน คนเป็นโรคกรดไหลย้่อนมักจะปวดแสบปวดร้อน บริเวณหน้าอก เวลาทานอาหารก็กลืนลำบากและรู้สึกเจ็บ จะรู้สึกรสขมของน้ำดีหรือ รสเปรี้ยวของกรดในปากในคอ จุกเสียดแน่นหน้าอกเหมือนอาหารไม่ย่อย เรอและคลื่นใส้บ่อยๆ หากกรดย้อนมาที่คอ จะทำให้เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยน ไอเรื้อรัง เป็นต้น

วิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน
การรักษาก็ต้องไปหาหมอ และทำตามที่หมอบอกเหอะ ครับ งานรักษาเป็นงานของหมอ เรารักษาเองไม่ได้แน่ๆ เหอะๆ รายที่เป็นหนักๆต้องผ่าตัดเลยทีเดียว แต่!! เราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ โดย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆ

วิธีการป้องกันง่ายๆ ไม่ให้เป็นกรดไหลย้อน
1. หลีกเลี่ยงทานอาหารมื้อใหญ่ แต่เปลี่ยนมาทานมื้อเล็กๆ หลายๆมื้อแทน ทำให้น้ำย่อยไม่หลั่งมากเกินไป

2. ทานมื้อค่ำให้เร็วขึ้นอีกนิด ไม่นอนทันทีหลังทานอาหาร เวลาเราอยู่ในท่านอนหลังทานอาหาร จะทำให้เกิดการไหลย้อนของกรดได้มากขึ้น

3. ลดเครียด ความเครียดทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรด มากขึ้นและไม่เป็นเวลา เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระเพาะด้วย

4. นอนหัวสูงอีกนิด เอียงที่นอนด้านหัว ให้สูงกว่า ด้านเท้า 6 - 8 นิ้ว (เอียงทั้งตัวนะครับ ไม่ใช้หนุนแต่หัว)

5. งด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และ น้ำอัดลม นี่ก็เป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดการหลั่งน้ำย่อย

6. ไม่สวมเสื้อผ้าคับเกิดไป เสื้อผ้าที่มันรัดๆ นอกจากจะอึดอัดแล้ว อาจจะทำให้กรดไหลย้อนได้เนื่องจากแรงดันอีกด้วย

วิธีง่ายๆ แต่ทำให้ห่างไกลจากโรคกรดไหลย้อนได้ ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ปีนี้ประเทศไทยเจอน้ำท่วมใหญ่ แล้ว คาดว่าจะหนาวมากอีกด้วย เนื่องจากปีไหนน้ำมากมักจะหนาวมากอีกเช่นกัน แล้วจะมาพูดถึงวิธีดูแลตัวเองในหน้าหนาวนะครับ ^^
อ่านต่อ..

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิธีการดูแลสุขภาพดวงตาง่ายๆ

ดวงตา เป็นหน้าต่างของใจ และเป็นอวัยวะที่สำคัญส่วนหนึ่งของร่างกาย คราวก่อนเราแนะนำเรื่องการเลือกแว่นกันแดด ให้มีประสิทธิภาพที่สุดแล้ว คราวนี้จะมาพูดถึงการปฏิบัติและการดูแลสุขภาพดวงตาของเรา

การดูแลสุขภาพดวงตา

ปัจจุบันนี้เราแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรทัศน์ต่างๆ ยิ่งคนทำงานออฟฟิต หรือสายงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องจ้องหน้าจอคอมเป็นเวลานานๆ มักจะมีอาการปวดล้าสายตา ดังนั้นเราจึงควรดูแลและถนอมสายตาของเรา ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆได้ดังนี้


1. ใช้น้ำเย็นประคบดวงตายามเช้า ปกติเราตื่นมาก็ต้องล้างหน้าอยู่แล้ว เอาใจใส่ดวงตาของเราอีกซักนิดโดยการเอาน้ำเย็นมาประคบที่เปลือกตาซักครู่ จะช่วยให้ดวงตาของเรารู้สึกสดชื่นขึ้น และไม่ควรขยี้ตาหรือล้างหน้าแรงๆนะครับ

2. เลือกใช้แว่นกันแดดที่เหมาะสม อ่านได้จากโพสที่แล้วนะครับ การเลือกแว่นกันแดดเพื่อสุขภาพดวงตา






3.ไม่ควรมองจอคอมพิวเตอร์หรือทีวีเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องทำงานติดต่อกัน ควรพักสายตาเป็นเวลา 5-10 นาที ทุกๆชั่วโมง

4. กระพริบตาบ่อยๆ การกระพริบตา จะช่วยให้ดวงตาหลั่งน้ำตาออกมาเพื่อชะโลมดวงตาไม่ให้แห้ง และช่วยลดการระคายเคืองของดวงตาอีกด้วย

5. ถอดคอนแทคเลนส์ทุกครั้งก่อนนอน ดวงตาจะรับออกซิเจนทางผิวของดวงตา ดังนั้นไม่ควรสวมคอนเทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือ ควรถอดก่อนนอน เพื่อเพิ่มการรับออกซิเจนของดวงตาและลดการระคายเคือง

6.ประคบเปลือกตาด้วยน้ำอุ่นก่อนนอน หากมีเวลา ก่อนนอนควรนำสำลีหรือผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบที่เปลือกตาก่อนนอน จะช่วยให้ดวงตาผ่อนคลายและกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดบริเวณเปลือกตา

6 วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพดวงตา เรามีดวงตาเพียงแค่คู่เดียวเท่านั้น รักษาให้ดีๆนะครับ

ยังไงก็ติดติดตามบทความต่างๆเรื่องการชะลอความแก่และการดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ได้ที่บล๊อกนี้นะครับ
อ่านต่อ..

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การเลือกแว่นกันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา

การเลือกแว่นตากันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา
การเลือกแว่นกันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา
ดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่มีความบอบบางอย่างมาก และยังเป็นอวัยวะที่สำคัญอีกต่างหาก ไม่เชื่อลองเอาผ้าปิดตาทั้งวันดูสิ รับรองว่าต้องมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเราแน่ๆ ดวงตาเป็นอวัยวะที่เราต้องใช้เกือบตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนกลางวัน ดวงตาจะต้องรับรังสีจากทั้งแสงแดด ซึ่งมีรังสี UV ที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อดวงตาได้ ดังนั้น การเลือกแว่นกันแดด เพื่อปกป้องดวงตาของเราจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่องการเลือกแว่นกันแดดให้ฟังกัน

1. แว่นกันแดดควรมีเครื่องหมาย UV สิ่งสำคัญอันดับแรกของการเลือกแว่นกันแดดคือ ความสามารถในการป้องกันรังสี UV เนื่องจากรังสี UV สามารถทำลายเนื้อเยื่อของดวงตาเราได้ เป็นสาเหตุของการเป็นโรคต้อต่างๆเช่น ต้อหิน ต้อกระจก เป็นต้น หากแว่นไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้ ก็คงเป็นแค่แว่นที่ใส่เอาเท่ ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่





2. ควรเป็นแว่นที่ตัดแสงสะท้อนได้ หรือ แว่นโพลาไรซ์เนื่องจากแว่นตาทิ่มีเลนส์ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น แก้ว หรือ พลาสติกต่างๆ เวลาใส่จะทำให้เห็นแสงสะท้อนได้ เช่น แสงสะท้อนบนถนน เป็นต้น แสงสะท้อนเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ วิธีเช็คว่ามันเป็นโพลาไรซ์แท้ ก็คือ เอาแว่น ส่องไปบนผิวสะท้อนแสง ที่เป็นอโลหะ เช่น ถนน หรือพลาสติกเมื่อหมุนไปถึงองศาที่เหมาะสม แสงสะท้อนจากอโลหะนั้นจะลดวูบลงนี่คือโพลาไรซ์ของแท้ แต่โพลาไรซ์มันก็มีหลายเกรด ลดแสงสะท้อนได้มาก ก็ราคาสูงขึ้นมาหน่อย ลดแสงได้น้อย ก็จะถูกหน่อย แต่เทคโนโลยีและราคา ต่างกันไม่มากหรอก

3.สีของเลนส์แว่น สีของเลนส์แว่น มีผลต่อการทำให้มองสิ่งต่างๆผิดเพี้ยน ซึ่งหากอาจเป็นอันตรายเพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย (พวกสัญญานไฟจราจรเป็นต้น) สีที่ควรเลือกคือ สีน้ำตาล(ชา) หรือสีออกดำๆ เพราะทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของสีน้อยสีสุด ส่วนสีที่ไม่แนะนำคือ สีเขียวและสีน้ำเงิน

4.ขนาดของกรอบ เป็นสิ่งหายากที่นักวิทยาศาสตร์สุขภาพ กับ แฟชั่นนิส จะเห็นตรงกันคือ การเลือกกรอบแว่นควรเลือกกรอบใหญ่ๆเข้าไว้ เพราะ กรอบใหญ่ๆ จะทำให้มีพื้นที่ปกป้องผิวรอบดวงตาจา่กรังสี UV ด้วย ยิ่งตอนนี้ แฟชั่นเด็กเนิร์ด กำลังมาแรง หามาใส่สักอันคงจะดีมิน้อย

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญของเรา ยังไงก็ดูแลรักษาดวงตาให้ดีๆนะครับ ^^ คราวหน้าจะมาแบ่งปันความรู้เรื่องสุขภาพเรื่องไหน ติดตามชมกันนะครับ ^^
อ่านต่อ..

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อาหารเพื่อสุขภาพ ประโยชน์ของการกินตับ เรามากินตับกันเุถอะ

ไปเที่ยวกันไหม.... จะไปก็รีบไป.....ไปกับพี่แล้วสบาย เด๋วพี่พาไปกินตับ ตับๆๆๆๆๆๆ เมื่อประมานเดือนที่แล้วเพลงนี้เป็นอะไรดังมากๆ สร้างความบันเทิงและกระแสการกินตับอย่างกว้้างขวาง 555 วันนี้จึงหยิบยกประเด็นประโยชน์จากการกินตับมาเล่าให้ฟัง

มากินตับกันเถอะ
ตับนั้นมีประโยชน์มากมาย จัดได้ว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชั้นดีอย่างหนึ่ีงก็ว่าได้ จะเห็นได้ว่าพ่อแม่มักจะให้เด็กเล็กๆทานตับบดเป็นอาหาร อีกทั้งตับยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ตับปิ้ง ตับหวาน ใส่ในผัดผักต่างๆไม่ว่าจะเป็นผัดขิงใส่ตับไก่ เป็นต้น นอกจากนี้ในสุกี้ Mk ยังมีตับขายเลย เอาตับสดมาลวกในหม้อสุกี้เดือดๆให้พอสะดุ้ง หวานอย่าบอกใครเชียว อร่อยขนาดไหนก็ตุ๊กแกยังชอบกินตับเลย ... 5555

ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของตับก็จะเป็นโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
นอกจากนี้ตับยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ ช่วยสร้างและบำรุงรักษาผิวหนังและผนังเยื่อจมูก ช่องในลำไส้ ทำให้เนื้อเยื่อในตาแข็งแรง




วิตามิน บี 2 ทำให้ผิวมีสุขภาพดี สายตาดี มองเห็นได้ชัดในที่ที่มีแสงสว่างน้อย
วิตามิน บี 3 ทำให้ผิวหนัง ประสาท และลำไส้มีสุขภาพดี ระบบย่อยเป็นปกติ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิตามิน บี 5 ทำให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด
วิตามิน บี 6 สร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ๆ ให้กับร่างกาย
วิตามิน บี 12 บำรุงประสาทให้แข็งแรง ทำให้สมองทำงานได้ดี ความจำดี และทำให้การสร้างเลือดเป็นปกติ

ที่สำคัญ ตับจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบหมุนเวียนเลือด ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบิน (Hemoglobin) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงที่ไว้ใช้จับกับออกซิเจนเพื่อให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้นผู้ที่เสียเลือดมากเช่นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ก็ควรทานตับเพื่อช่วยเสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือดที่เสียไป

แต่ถึงแม้ตับจะมีประโยชน์มากมาย แต่หากรับประทานมากไปก็ส่งผมเสียได้เช่นกัน อะไรที่มันเกินไปมักจะไม่ดีเสมอเนื่องจากตับเป็นส่วนที่กำจัดสารพิษ ซึ่งอาจจะมีสารพิษตกค้างได้บ้าง นอกจากนี้ ตับไก่ มีสารที่เรียกว่า อะมิโน-พาราเอ็ธฟีนอล (Amino-paraethenol) สารชนิดนี้มีฤทธิ์ต่อ หลอดเลือดแดงในสมองทำให้แข็งตัว ถ้ากินตับไก่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้มีอาการของ โรคไมเกรน มีอาการปวดหัวข้างเดียวเป็นเวลานาน จนกระทั่งอาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาบอดข้างเดียวตามมาได้ รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดในสมองโรคความดันโลหิตสูง และผู้ที่มีอาการปวดหัวข้างเดียวบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงการกินตับไก่ และผู้ป่วยที่เป็น thalassemia ที่ได้รับเลือดเป็นประจำไม่ควรกินตับเพราะทำให้เหล็กเกิน ไปสะสมในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ อาจทำให้หัวใจล้มเหลวได้

ตับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมีประโยชน์ต่อร่างกาย พวกเรามากินตับกันเถอะ แต่ก็ควรปรุงให้สุกก่อนนะครับ ไม่งั้นอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปอบได้นะครับ หากบล๊อกและบทความนี้มีประโยชน์ ยังไงก็คอยติดตามบล๊อกสุขภาพของผมในตอนต่อไปด้วยนะครับ

อ่านต่อ..